สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด

มติ ครม. และมติมหาเถรสมาคม ให้มีการจัดตั้งสำนักปฏิบัติธรรม ประจำจังหวัด ๕๐๐ สำนัก ทั่วประเทศ ระหว่างปี ๒๕๔๓ ถึงขณะนี้ สามารถจัดตั้งได้แล้ว กว่า ๕๐๐ แห่งแล้วสำหรับมติ มหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๑๓/๒๕๔๙ วันที่ ๓๐ มิ.ย. ๔๙มีการจัดตั้งสำนักปฏิบัติธรรม ประจำจังหวัด (นำเสนอเฉพาะของ จังหวัดปทุมธานี) ดังนี้


๑ วัดเขียนเขต ธัญบุรี พระราชปริยัตยาภรณ์ จจ.
 ๒ วัดโสภาราม เมืองปทุมธานี พระครูโสภณพิทักษ์ 
๓ วัดเปรมประชา เมืองปทุมธานี พระมหาสมชาย สนฺติกโร
 ๔ วัดสวนมะม่วง สามโคก พระ
 ๕ วัดบางเตยกลาง สามโคก พระครูธีรานุวัตร
 ๖ วัดสุทธาวาส ลาดหลุมแก้ว พระ
 ๗ วัดปัญญานันทาราม คลองหลวง พระ
 ๘ วัดซอยสามัคคี ลำลูกกา พระครูพิศาลธรรมานุวัตร
๙ วัดสุวรรณบำรุงราษฎร์ ลำลูกกา พระครูสุวรรณวรการ 
๑๐ วัดนพรัตนาราม หนองเสือ พระครูปทุมธรรมวาที

 วัตถุประสงค์ เพื่อให้ข้าราชการลาปฏิบัติธรรม ๕-๘ วัน โดยไม่ถือ เป็นวันหยุด สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้เล็งเห็นถึง “ความมหัศจรรย์แห่งชีวิต” ที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม รวมทั้งเกิดกับ ผู้คนมากมาย ที่ผ่านการปฏิบัติธรรมมาแล้ว จึงด้เป็นผลักดันให้มี โครงการปฏิบัติธรรมเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานขึ้น โดยมีวั ตถุประสงค์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรม ทางพระพุทธศาสนาโดยผ่านทางการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน สามารถนำหลักธรรมไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานตามระบบ ราชการใหม่ทำให้ปฏิบัติงานอย่างมีความสุข มีจิตสำนึกพร้อมที่จะปฏิบัติงาน เพื่อประชาชนและแผ่นดินเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมี การปรับเปลี่ยนกระบวน ทัศน์ วัฒนธรรม และค่านิยม ในการดำเนินงานใหม่ที่มุ่งเพิ่มสมรรถนะระบบ ราชการแบบเดิม ไปสู่การพัฒนาระบบราชการแบบใหม่ ที่ยึด หลักบริหาร กิจการบ้านเมืองที่ดี และคำนึง ถึงประโยชน์สุขของประชาชน เป็นระบบที่มี สมรรถนะสูงตามแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชน โดยการพัฒนาด้านจิตใจ ซึ่งจะทำให้เกิดพฤติกรรมในเชิงสร้างสรรค์ความ สงบเรียบร้อยของสังคม รวมทั้งเพื่อให้ พุทธศาสนิกชนได้รับคุณค่าของ พระพุทธศาสนา จนสามารถนำพุทธธรรมไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ใน ชีวิตประจำวัน อันจะส่งผลให้สถาบันชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์มีความ มั่นคงอย่างแท้จริง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้เสนอโครงการดังกล่าวกับ มหาเถรสมาคม ซึ่งทางมหาเถรสมาคมได้พิจารณาเห็นชอบแล้ว รวมทั้ง ได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโครงการดังกล่าว

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2546 ได้มีมติ เห็นควรให้ความเห็นชอบโครงการปฏิบัติธรรมเพิ่ม ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ตามที่.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เสนอ โดยไม่ถือว่าเป็นวันลา สำหรับระยะเวลา ที่เหมาะสมในการปฏิบัติธรรม แต่ละครั้ง ควรจะเป็น 5 วัน 4 คืน (ลา 3 วันทำการ) และ 8 วัน 7 คืน (ลา 5 วันทำการ) และไม่ถือเป็นการไปปฏิบัติราชการ (มีสิทธิ์ได้รับเงิน เดือนและค่าจ้างตามปกติ) ต่อมา เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2547 คณะรัฐมนตรีได้ลงมติอนุมัติตามมติ คณะกรรมการกลั่นกรองฯและให้แจ้งรองนายกรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม ทราและถือปฏิบัติต่อไป สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้จัดโครงการปฏิบัติธรรมของเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธฯ ไปแล้ว 3 รุ่น ต่อมาเมื่อ 8 มีนาคม 2547 ได้มีการเปิดตัว “โครงการปฏิบัติธรรมเฉลิม พระเกียรติ เพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน” ขึ้นอย่างปฏิบัติธรรมของ เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธฯ ไปแล้ว 3 รุ่น ต่อมาเมื่อ 8 มีนาคม 2547 ได้มีการเปิดตัว “โครงการปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ เพิ่มประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติงาน” ขึ้นอย่างเป็นทางการ ณ หอประชุมใหญ่พุทธมณฑล จ.นครปฐม โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์(เกี่ยว อุปเสโณ) ประธานคณะ ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส และมีพระสังฆาธิการระดับต่างๆ รวมถึงผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ทั้งสิ้น 375 รูป/คน เพื่อวางแนวทางการดำเนินการปฏิบัติธรรมเฉลิม พระเกียรติเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างถูกต้อง พลตำรวจโทอุดม เจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในขณะนั้น ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มโครงการนี้ กล่าวว่า หน่วยงานและองค์กร ที่เกี่ยวข้อง สำหรับผู้รับผิดชอบโครงการนี้ในส่วนกลาง ได้แก่ สำนักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ส่วนภูมิภาค ได้แก่ สำนักงานเจ้าคณะภาค สำนักงานเจ้าคณะจังหวัดสำนักปฏิบัติธรรม และสำนักงานพระพุทธ ศาสนาจังหวัด หากเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงาน/องค์กร เฉลิมพระเกียรติ เพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ต้องดำเนินการดังนี้ ในส่วนเจ้าหน้าที่ของรัฐ ขอรับใบสมัครได้จากหน่วยงานต้นสังกัด, สำนักงานพระพุทธศาสนา แห่งชาติ หรือสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด แล้ว กรอกรายละเอียดใน แบบฟอร์ม ยื่นต่อเจ้าหน้าที่รับสมัครของวัดหรือสำนักปฏิบัติธรรม หรือ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด เพื่อกำหนดวันที่จะเข้ารับการอบรมปฏิบัติธรรม จากนั้นจึงทำหนังสือขออนุญาตหน่วยงานต้นสังกัด เพื่อขอเข้ารับ การอบรมการปฏิบัติธรรมตามหลักสูตรที่กำหนด เมื่อได้รับอนุญาต แล้วจึงเข้ารับการอบรมตามสถานที่ที่ได้สมัครไว้ และปฏิบัติตาม หลักเกณฑ์ของสถานที่นั้นอย่างเคร่งครัด และเมื่อสิ้นสุดการอบรม ปฏิบัติธรรมตามที่กำหนด จะได้รับหนังสือรับรองการปฏิบัติธรรม จากวัดหรือสำนักปฏิบัติธรรมนั้นๆ พร้อมวุฒิบัตร ซึ่งจะต้องนำเอกสาร ที่ได้ไปแสดงต่อผู้บังคับบัญชา หรือหน่วยงาน เพื่อลงในทะเบียน ประวัติเจ้าหน้าที่ของรัฐ ส่วนหน่วยงาน/องค์กร ที่มีความประสงค์จะพัฒนาบุคคลากร โดย สมัครเข้าร่วมโครงการ ต้องประสานกับสำนัก งานพระพุทธศาสนา แห่งชาติ หรือสำนัก งานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัด เกี่ยวกับเรื่อง วัดหรือสำนักปฏิบัติธรรมที่สามารถรองรับได้ เพื่อจัดทำโครงการ จากนั้นจึงเสนอโครงการไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ 

เพื่อขอรับการสนับสนุน และจัดทำทะเบียนผู้เข้ารับ การอบรมตามโครงการ เมื่ออบรมครบหลักสูตรแล้ว รายงานผล ให้สำนักงานสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือสำนักงา นพระพุทธศาสนาประจำจังหวัดทราบ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานพระพุทธศาสน าแห่งชาติ โทร. 0-2441-4549,0-2441-4516

 หลักสูตรการปฏิบัติธรรม ประกอบด้วย ภาคปริยัติ (ทฤษฎี) และภาคปฏิบัติ ภาคปริยัติ (ทฤษฎี) ปาฏิหาริย์ของการปฏิบัติธรรม เน้นอนุสาสนี ปาฏิหาริย์ (คำสอนมีผลจริงเป็นอัศจรรย์) *การบริหารกาย การบริหารจิต *หลักและกระบวนการปฏิบัติเบื้องต้น *หลักและวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน *มหาสติปัฏฐานสูตรและพระสูตรอื่นๆที่เกี่ยวข้อง กฎแห่งกรรม และภพภูมิตามหลักพระพุทธศาสนา ภาคปฏิบัติ *พิธีการสวดมนต์ไหว้พระ ทำวัตรเช้า-เย็น *ฝึกเดินจงกรมใช้สติกำหนดพิจารณาอิริยาบถฝึกนั่งสมาธิ ใช้สติกำหนดพิจารณาอารมณ์


 ข้อมูลที่มา โดย..สุรศักดิ์ คลี่แก้ว สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น