เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมและเจ้าอาวาส วัดซอยสามัคคี (ธรรมสุขใจ) เจ้าคณะตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัด ปทุมธานี
… รวบรวมเรียบเรียง โดย วิธันว์ ศรีเมือง (เปรียญ) สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย
(โยมพ่อ โยมแม่ พระครูพิศาลฯ ปัจจุบันเสียสีวิตแล้ว)
…. ชีวิตในวัยฆราวาส ก่อนก้าวเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัตร ... ชีวิตของหลวงพ่อพระครูพิศาลธรรมานุวัตร (สมนึก เตชธมฺโม) เมื่อเยาว์วัย กินข้าวก้นบาตรพระ ด้วยความเข้มงวดในการรักษาความสะอาด และเห็นคุณค่าข้าวแต่ละเม็ดที่ชาวบ้านมีศรัทธานำมาทำบุญตักบาตร ท่ามกลางกลิ่นโคลนสาบควาย นาข้าวเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา อาคารสีเหลืองทองตระหง่าน ยอดฟ้าใบระกาส่งเสียงกรุ๋งกริ๋ง เสียงพร่ำมนต์เช้า เย็น และกลิ่นธูปควันเทียน ได้อบร่ำบ่มเพาะเด็กชายสมนึก หมีบังเกิด หรือท่านพระครูพิศาลธรรมมานุวัตร (สมนึก เตชธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดวัดซอยสามัคคี (ธรรมสุขใจ) ในปัจจุบัน ซึ่งกำเนิดจากนายบุญธรรม และนางเจียร หมีบังเกิด เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๔๙๙ ณ บ้านเลขที่ ๒๑ หมู่๖ ตำบลบ้านลำ อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี ให้มีจริตรักและพึงพอใจในธรรม บิดามารดา ของท่านพระครูพิศาลธรรมมานุวัตร เป็นกระดูกสันหลังของชาติ หาเลี้ยงดูลูกชายหญิง ๔ คน ด้วยการทำนา (พระครูพิศาลธรรมมานุวัตร เป็นพี่คนโต มีน้องเป็นหญิง ๒ คน และชาย ๑ คน) ท่านเป็นหลานรักของปู่ ย่า ตา ยาย มาตั้งแต่เล็ก อันผู้เฒ่าผู้แก่แต่โบราณนั้น ท่านเลี้ยงดูลูกหลานด้วยความรักใคร่เอาใจใส่ ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกหลานเล่น มิใช่เอาแต่ทำการงาน จนถูกการงานและการเวลากลืนกินอย่างคนรุ่นปัจจุบัน ในช่วงอายุระหว่าง ๖ – ๙ ปี เป็นช่วงเวลาที่สูญเสียญาติผู้ใหญ่ อันได้แก่ ปู่ ย่า ตา ยาย ไปในระยะเวลา ติดต่อกันปีแล้ว ปีเล่า ซึ่งท่านก็ได้ทดแทนพระคุณท่านเหล่านั้น ด้วยการบวชเณรหน้าไฟ เพื่อให้ท่านได้พึงพาบารมีของผ้ากาสาวพัสตร์ ไปสู่สุคติภพ ชีวิตในวัยเยาว์ของท่านพระครูพิศาลธรรมมานุวัตร วนเวียนอยู่กับวัด โรงเรียนวัด และกลิ่นไอของกองฟางมาตลอด ทั้งนี้ก็เนื่องด้วยอาศัยที่วัด เป็นเด็กวัด ที่ต้องคอยถือปิ่นโต ตามหลังหลวงตาออกบิณฑบาต ทำวัตรสวดมนต์เช้า เย็น กินข้าวก้นบาตรพระ หลวงตามีความเข้มงวดในการรักษาความสะอาด และเห็นคุณค่าข้าวแต่ละเม็ดที่ชาวบ้านมีศรัทธานำมาทำบุญตักบาตร ถ้าใครกินไม่หมดเกลี้ยง หรือหกเรี่ยราด จะถูกหลวงตาทำโทษให้แบกข้าวที่ละเม็ดไปทิ้งในสระให้ปลากิน กว่าจะหมดจานก็เล่นเหนื่อยหอบ จึงขยาดไม่กล้าทำผิดกันอีก ลุปีพ.ศ. ๒๕๐๙ ท่านสำเร็จการศึกษาภาคบังคับ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียนวัดบ้านดอน ตำบลบ้านลำ อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี ในฐานะพี่ชายคนโต จึงต้องออกมาช่วยงานพ่อแม่ทำนา ไม่ได้รับการศึกษาระดับชั้นมัธยมต่อไป ต้องดำเนินชีวิตเกษตรกร เพื่อเลี้ยงดูน้องๆ เป็นการแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ …

อุปสมบท บวชเรียน .... โดยประเพณีท้องถิ่นชนบท ถืองานบวชเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ ทุกคนมีส่วนร่วมยินดีในบุญ แม้ศัตรูคู่อาฆาตที่โกรธแค้นเคืองกัน ก็ไม่มีใครจะข้ามหรือกีดกั้น ไม่ให้เข้าร่วมบุญด้วยได้ ชาวชนบทบ้านนอก ไม่ได้แข่งกันสร้างตึกให้สูงใหญ่ระฟ้า แต่แข่งกันสร้างบุญ สร้างกุศล ครั้นถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ถึงเกณฑ์อายุใกล้ครบบวช ท่านพระครูพิศาลธรรมมานุวัตร นึกถึงถ้อยคำ ที่ให้สัญญาไว้กับปู่ย่า ประกอบกับพ่อแม่เรียกหาให้ท่านมาบวชพระ ขณะนั้น ท่านทำงานเป็นคนงานอยู่ที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพฯ จึงพิจารณาไตร่ตรอง ว่ารำพังการเป็นลูกจ้างนอกฤดูทำนา แม้จะได้รับการแต่งตั้งจากบริษัท ให้เป็นหัวหน้าแรงงานทั้งที่มีอายุน้อยก็ตาม ย่อมไม่สามารถที่จะมีเงินเก็บสะสมในการบวชตามประเพณีได้ จึงตัดสินใจลาออกจากงาน กลับไปทำนาปลูกข้าวอย่างมุ่งมั่น เพื่อที่จะได้เก็บออมเงินทองเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการบวช เพื่อทนแทนคุณบุพการีในปีหน้า (พ.ศ. ๒๕๒๐) ตราบกระทั่งถึงวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ งานอุปสมบทที่ยิ่งใหญ่มโหฬาร ก็ถูกจัดขึ้นที่บ้าน ขบวนกลองยาว แตรวงแห่ม้า จากวัดบ้านดอนไปยังวัดโคกกระต่าย นาคสมนึก หมีบังเกิด ผุดผ่องสง่างามอยู่บนหลังม้า ดำเนินรอยบาท พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะความที่นาคสมนึก ไม่เคยขี่ม้ามาก่อนเลยในชีวิต แต่ต้องทนในระยะทางกว่า ๒ กิโลเมตร นาคสมนึกจึงชุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ แต่ก็มิได้ปริปากบ่นแต่อย่างใด เพื่อปณิธานที่มุ่งมั่นกตัญญูต่อปู่ย่า ตายาย และบิดามารดา วิถีชีวิต กับร่มผ้ากาสาวพัตร …. ในการพิธีอุปสนมบท ท่านพระครูชินธรรมประกาศ หรือหลวงพ่อถิร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิเศษวรกิจ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระ พระครูสุนันธาภิวัฒน์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พรรษาแรก พระสมนึก เตชธมฺโม ได้จำพรรษา ณ วัดบ้านดอน ตำบลบ้านลำ อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี โดยมีหลวงปู่เยื้อน หาสธมฺโม เป็นเจ้าอาวาส ท่านยึดมั่นในสมณสารูป ตามวัตรปฏิบัติที่สงฆ์พึงมี สวดมนต์ทำวัตรเช้า ฉันภัตตาหารเช้า เพล แล้วเข้าเรียนปริยัติธรรม กับพระอาจารย์ พระครูรัตนสิทธิคุณ ณ วัดโคกกระต่าย จนจบพรรษาแรก สำเร็จชั้นนกภูมิ สอบได้นักธรรมตรี ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ อันเป็นพรรษาที่สอง ได้ศึกษาต่อนักธรรมโท และสมัครเข้ารับการอบรมเป็นนักเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ ศูนย์กลางเผยแผ่ศีลธรรม วัดดาวเสด็จ จ. สระบุรี มี พระครูโสภณธรรมประกาศ เป็นผู้อำนวยการ จนสิ้นสุดพรรษา ก็สามารถสอบนักธรรมโทได้ ด้วยความฉันทะ วิริยะ และอุตสาหะ ขึ้นพรรษาที่สาม ในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ศึกษาต่อนักธรรมเอก จนกระทั้งจบหลักสูตรทางฝ่ายปริยัติ ในระหว่างนั้นท่านมีความปรารถนายากช่วยเหลือสังคม จึงเริ่มเปิดหน่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นที่วัดบ้านดอน แต่ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควร เพราะเป็นการทำงานของพระผู้น้อย ที่ยังด้อยต่อประสบการณ์ ดั้งนั้นในพรรษาที่สี่ ท่านจึงตัดสินใจไปศึกษาต่อยังมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งหนึ่ง พร้อมกับเพื่อสหธรรมิกอีกสามรูป แต่ด้วยคุณสมบัติทางการศึกษาไม่ถูกต้องตามระเบียบการ จึงไม่ผ่านการพิจารณา จากความผิดหวังที่รับติดต่อกัน ทำให้พระสมนึก เตชธมฺโม พร้อมด้วยเพื่อนสหธรรมิก ที่ประสบปัญหาเดียวกัน เกิดความรู้สึกสับสน ด้วยใจหนึ่งคิดอยากจะลาสิกขาเพศออกไปสู่ตามแนวทางชีวิตของเพศฆราวาสวิสัย ในขณะที่อีกใจหนึ่งนั้น ยังอยากที่จะต่อสู้กับชีวิตบรรพชิตสืบต่อไป เพราะยังมิได้ทำคุณประโยชน์ให้บังเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาแต่อย่างใดเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังไม่สามารถที่จะขจัดความไม่รู้ คือการทำให้รู้เสียสิ้น จึงเหมือนกับว่าท่านถ้อแท้ แต่ไม่ถ้อถอย ตราจนปี ๒๕๒๓ จึงเดินทางขึ้นไปปฏิบัติธรรมกับเพื่อนสหธรรมิกสามรูป ณ วัดเขาเทพนิมิต อ.วังทอง จ.พิษณุโลก เป็นระยะเวลา ๑๒ วัน โดยการเก็บอารมณ์ท่านกลางป่าเขาลำเนาไพร ไม่มีการพูด ไม่มีการอ่าน ไม่มีการฟัง ประคับประครองอารมณ์แห่งตน บำเพ็ญจิตภาวนาแสวงหาสัจจะอย่างไม่สิ้นสุด อาศัยอิทธิบาทสี่ เป็นสำคัญ สภาพรู้ย่อมมาถึงการฟื้นตัวและเปิดเผยทุกสิ่ง เหมือนดังดอกบัวที่เผยอกลีบช้าๆ บานรับรุ่งอรุณแห่งวันใหม่ ช่วงระยะเวลา ๑๒ วัน แห่งการบำเพ็ญเพียรภาวนาจิต จึงนับเป็นครั้งแรก ที่ทำให้พระสมนึก เตชธมฺโม ประจักแจ้งในสัจจะธรรม รู้สำนึกว่าการปฏิบัติพระกรรมฐานนั้น เป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง แสงสว่างแห่งชีวิตใหม่ได้บังเกิดขึ้น ปีติสุข อันได้สัมผัสจากการปฏิบัติธรรม ความปีติ ซาบซ่านนั้น ทำให้สำคัญผิดคิดว่าตนบรรลุคุณธรรมขั้นสูง ต่อมาภายหลังจึงได้ทราบว่า แท้จริงนั้นเป็นอุปกิเลสขั้นละเอียด เมื่อพิจารณาไตรตรองด้วยความละเอียดรอบคอบ หลักสูตรการศึกษาในพระพุทธศาสนา ที่พระบรมศาสดาได้ทรงว่างเอาไว้อย่างทรงคุณค่านั้น ชีวิตจะทำหน้าที่ของมันเองเมื่อถึงวาระ เปรียบเสมือนผลไม้ ที่รู้จักก่อตัวจากเมล็ดดิบเป็นสุก และฝังดินงอกขึ้นใหม่ การศึกษาที่ทรงจำแนกออกเป็นสามขั้นตอนได้แก่ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ก็เนื่องเพราะ” ปริยัติ” เป็นขั้นตอนของการศึกษา เหมือนดั่งการอ่านแผนที่ หรือการอ่านตำราเพียงลำพัง แต่ไม่ลงมือ “ปฏิบัติ” คือการ เดินก็ไม่อาจจะถึงที่หมายปลายทางได้ หรืออ่านตำรายาแล้วไม่ปรุงยา ไม่กินยา ก็ไม่สามารถที่จะรักษาโรคให้หายขาดได้ และผลที่ได้รับนี้ก็คือ “ปฏิเวธ” เมื่อกระจ่างแจ้งในธรรมจากการที่ได้ศึกษาปฏิบัติ แล้วก็ได้เดินทางกลับสู่บ้านดอนอีกครั้งหนึ่ง หลวงปู่เยื้อน หาสธมฺโม ผู้เป็นเจ้าอาวาส ผู้ชราภาพมาก ไม่สามารถที่จะสั่งสอนให้ได้ความรู้เพิ่มขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ในขณะที่พระสมนึก เตชธมฺโม ต้องการที่จะศึกษาหาความรู้ มากกว่าที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นวิชาการทางโลกหรือทางธรรม ในที่สุดจึงไปสมัครเรียนวิชาบาลีไวยากรณ์ และการศึกษาผู้ใหญ่ ณ วัดขอนชะโงก ต. คชสิทธิ์ อ.หนองแค จงสระบุรี โดยมีพระครูกัลยาณกิตติคุณ เป็นเจ้าอาวาส ปี ๒๕๒๓ – ๒๕๒๕ นี้ จึงเป็นปีที่มุ่งทำงานให้กับการศึกษา แสวงหาความรู้และเผยแผ่ไปพร้อมๆ กัน นับเป็นช่วงเวลาที่ได้ใช้ความเพียรพยายามเป็นอย่างมาก กิจวัตรที่ได้ปฏิบัติ ณ วัดเขาชะโงก คือเวลา ๐๕.๐๐ น. ลุกขึ้นทำวัตรเช้า ต่อจากนั้น เวลา ๐๖.๐๐ น.ออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์ ๐๘.๐๐ น.ฉันภัตตาหารเช้า ๐๙.๐๐ น. เรียนบาลีไวยากรณ์ ๑๑.๐๐ น. ฉันเพล ภิกษุสามเณรประมาณ ๓๐ กว่ารูป จะเปลี่ยนเวรกันหุงข้าวและทำภัตตาหาร ซึ่งอาหารหลักคือ ต้มปลาทูนึ่ง ๑๐ เข่งเล็ก กับน้ำหนึ่งหม้อเบอร์ ๕๐ นิ้ว หรือไม่ก็ต้มไก่ ๒ ตัว กับน้ำหนึ่งหม้อเบอร์ ๕๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. สอนนักธรรม ๑๔.๓๐ น. สอนธรรมศึกษาแก่นักเรียนมัธยม ๑๖.๐๐ เรียนศึกษาผู้ใหญ่ เวลา ๒๐.๐๐ น.ทำวัตร และต่อจากนั้น ก็เป็นการทบทวนวิชาที่ได้ทำการเล่าเรียนศึกษา กับทั้งเตรียมการสอนในวันต่อไป จนกระทั่งจบการศึกษาผู้ใหญ่ระดับ ๔ (ม.ศ. ๓ ) นักเผยแผ่พระพุทธศาสนา เดิมทีนั้นพระสมนึก เตชธมฺโม คิดแต่เพียงว่าจะบวชเพื่อทดแทนคุณบุพพการีและญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรักเพียงแค่พรรษาเดียว แต่เมื่อได้ศึกษาและปฏิบัติอย่างจริงจัง จึงเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ พร้อมกับการตั้งปณิธาน ที่จะมุ่งมั่นประกาศพระพุทธศาสนา และช่วยเหลือสังคม เจริญตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น ในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ จึงย้ายไปจำพรรษาที่วัดดาวเสด็จ จ. สระบุรี ที่จะให้การศึกษาแก่เด็ก ด้วยเห็นว่าเด็กเปรียบเสมือนผ้าขาว ย่อมที่จะแปดเปื้อนได้ง่าย การให้สิ่งดีงามเสียแต่แรกเริ่ม จึงง่ายและประเสริฐกว่า การต้องแก้ไขภายหลัง ซึ่งจะทำได้ยากยิ่ง อีกทั้งเด็กจะต้องเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต พระสมนึก เตชธมฺโม เลือกสอนเด็กตั้งแต่อนุบาล ไปจนถึงมัธยม ระหว่างวันจันทร์ถึงวันศุกร์ โดยสอนวันละ ๕ คาบ รวมทั้งสิ้น ๒๓ ห้องเรียน นอกจากนั้นยังร่วมกับทางโรงเรียน คชสิทธิ์วิทยาคม จัดให้มีห้องจริยศึกษา จนกระทั้งครูวิชาศีลธรรม ได้รับรางวัลดีเด่นด้านการจัดจริยศึกษา ของสำนักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ เมื่อวางรากฐานการศึกษาแก่เด็กในจังหวัดสระบุรี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในปีรุ่งขึ้นก็ออกจาริกไปยังภาคตะวันออก เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอ่างศิลา และได้รับเมตตาธรรมจากหลวงพ่อ พระครูวิมลลีลาภรณ์ (หลวงพ่อพูลทรัพย์) เจ้าอาวาส ให้สอนศีลธรรมแก่นักเรียนโรงเรียนอนุบาล ประถมศึกษา จนถึงระดับมัธยมศึกษา เช่นโรงเรียนสหพาณิชย์ โรงเรียนพระตำหนักมหาราช เป็นต้น ทั้งนี้ยังไม่รวมการสอนนักธรรม ในสถานที่ต่างๆ ที่จัดงานบวชสามเณร บวชชีพราหมณ์ อยู่ปริวาสกรรม และงานอื่นๆ อีกมาก เดือนกุมภาพันธ์ ของปีเดียวกันนี้ หลวงพ่อมหาประเสริฐ กิตติเสฏโฐ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ได้เป็นประธานในงานปฏิบัติธรรมที่พระเจดีย์พระคุณแม่ วัดคลองใหม่ อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี ซึ่งในขณะนั้น หลวงพ่อพระครูอรรถสรธรรม เจ้าอาวาสวัดคลองใหม่ มีอายุครบ ๘๐ ปีทางวัดจึงได้จัดงานวันเกิดขึ้น มีการปฏิบัติธรรมควบคู่กันไปด้วย พระสมนึก เตชธมฺโม ได้ทำหน้าที่เป็นโฆษก (ประชาสัมพันธ์) ของงาน เมื่อถึงเวลากลางคืน ทางวัดได้ให้มีมหรสพสมโภช หลวงพ่อมหาประเสริฐ เห็นว่าคณะศิษย์ ที่ไปร่วมงานส่วนใหญ่เป็นนักปฏิบัติธรรม (บวชเนกขัมมบารมี ชีพรหามณ์) จึงได้สอบถามพระสมนึก ว่ามีใครที่จะเป็นน้กเทศน์ได้บ้าง ซึ่งพระสมนึก ก็ตอบท่านว่า ตัวท่านเองพอจะเทศน์ได้บ้าง หลวงพ่อมหาประเสริฐจึงได้ให้ขึ้นเทศน์คู่กับพระสุวิทย์ สุชีโว ซึ่งเป็นศิษย์เอกของท่าน ในคืนนั้น จึงเป็นการเทศน์สองธรรมมาสน์ ครั้งแรกในชีวิต และในช่วงดึก หลวงพ่อมหาประเสริฐก็ได้ขึ้นเทศน์ด้วย จึงทำให้ พระสมนึก ประทับใจมาก ที่รับเมตตาธรรมจากท่าน ภายหลังเสร็จงานจากเจดีย์พระคุณแม่แล้ว ในเดือนมีนาคม หลวงพ่อมหาประเสริฐได้ชวนให้ไปช่วยงาน อยู่ปริวาสกรรม ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมธรรมสุขใจ รังสิต ซึ่งท่านจัดขึ้น และเดือนเมษายน ก็ได้เดินธุดงค์กับ ท่านไปยังภาคใต้ร่วมกับเพื่อนสหธรรมิก จำนวน ๘๔ รูป (รายละเอียดในพรรณนาธุดงค์) วันที่ ๑๕ - ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ หลวงพ่อพระครูวิมลสีลาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดอ่างศิลา และหลวงพ่อพระมหาอุดม ชุติปาโล (พระครูโอภาสกีกิตติ) ประธานสภาสงฆ์จังหวัดชลบุรี ได้จัดงานอบรมวิชาการทางศาสนา โดยมีพระอาจารย์ประดิษฐ์ สาทโร หรือหลวงพ่อธรรมเมตตา เจ้าอาวาสวัดโคนอน อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เป็นฝ่ายวิชาการ พระสมนึก เตชธมฺโม เป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ของงาน มีพระภิกษุสงฆ์เดินทางไปร่วมกิจกรรมประมาณ ๑,๔๐๐ กว่ารูป และหลังจากงาน อบรมเสร็จสิ้นแล้ว ได้ร่วมเดินธุดงค์จากวัดอ่างศิลา ไปยังชายแดนภาคตะวันออก จังหวัดตราด ในช่วงระหว่างเดินธุดงค์นั้น ก็มีการเทศน์ สั่งสอนประชาชนในทุกสถานที่ และรับอาหารบิณฑบาต ที่เป็นอาหารแห้ง โดยนำรวบรวม ไปแจกทหารที่อยู่ ณ ค่าย สีบัวทอง จังหวัดตราด ในพรรษานั้นได้จำพรรษาอยู่ที่วัดอ่างศิลา ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระเกียรติ พระชนพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลเดชมหาราช วันที ๕ ธันวาคม ๒๕๒๘ คณะกรรมการโครงการอบรมวิชาการทางศาสนา วัดอ่างศิลา ร่วมกับกองกำลังรักษาพระนคร และโรงเรียนพณิชยการสยาม ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ณ บริเวณพุทธมณฑล ตำบลศาลายา อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม มีพระภิกษุไปร่วมกิจกรรมประมาณ ๓,๐๐๐ กว่ารูป โดย มีพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก (ผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในขณะนั้น ) เป็นประธานกรรมการอำนวยการ พระสมนึก เตชธมฺโม ก็รับหน้าที่เป็นคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ และหน่วยการปฏิบัติการพิเศษ มีหน้าที่สอดส่องดูแลพระภิกษุที่ธุดงค์ไปร่วมกิจกรรม ปี ๒๕๒๙ ได้กลับมาช่วยงานที่ศูนย์วิปัสสนาธรรมสุขใจ รังสิต อีกครั้งหนึ่ง โดยหลวงพ่อมหาประเสริฐ กิตฺติเสฏโฐ ได้จัดอบรมวิชาการนักเทศน์และธุดงควัตร รุ่นที่ ๑ ขึ้น มีพระธุดงค์เข้าร่วมรับการอบรม จำนวน ๙๓๓ รูป จาก ๖๓ จังหวัด และหลังจากอบรมเสร็จแล้ว ได้ร่วมเดินธุดงค์ไปยังจังหวัดกาญจนบุรี กับหลวงพ่อมหาประเสริฐ จะพาไปปฏิบัติธรรมตามป่าเขาลำเนาไพร ซึ่งเป็นสถานที่สมควรแก่การเจริญสมาธิและวิปัสสนา และหลังจากกลับจากเดินธุดงค์แล้ว หลวงพ่อมหาประเสริฐ ก็ได้เป็นประธานในการตอกเสาเข็ม เป็นปฐมฤกษ์ ให้แก่อุโบสถวัดธรรมสุขใจ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๒๙ และในปีเดียวกันนั้นเอง พระสมนึก เตชธมฺโม ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าสงฆ์ ฝ่ายปกครองศูนย์ และจำพรรษที่ศูนย์วิปัสสนาธรรมสุขใจเป็นพรรษาแรก จนถึงปัจจุบัน งานเผยแผ่พระพุทธศาสนานั้น นับเป็นงานหลักของ พระครูใบฎีกาสมนึก โดยการขยายงานจากเฉพาะบุคคล กลุ่ม ให้สูงขึ้น ยิ่งเมื่อท่านได้เป็นหัวหน้าสงฆ์ ฝ่ายปกครอง งานเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็สามารถที่จะให้เกิดประโยชน์ ยิ่งขึ้น ด้วยการร่วมบรรยายธรรมทางสถานีวิทยุหลายแห่งกับหลวงพ่อมหาประเสริฐ ลีลาการเทศน์ของท่านได้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงพ่อมหาประเสริฐ โดยผนวกเข้ากับลีลาของท่านเอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มผู้ฟังธรรม จากเดิมซึ่งเป็นเด็ก กลายเป็นผู้ใหญ่และเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นลำดับ เพราะการเทศนาธรรมและการธุดงค์เผยแผ่นั้น ไม่เพียงพอและไม่สามารถจัดทำได้อย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องขยายมาสู่การบรรยายธรรม ทางสถานีวิทยุ ซึ่งเป็นสื่อที่เข้าถึงประชาชนได้อย่างขว้างขวางมากกว่า ผู้รับฟังส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๐ เป็นผู้สูงอายุ ดั้งนั้น รูปแบบการบรรยายธรรมจึงต้องปรับให้เข้ากับระดับของผู้ฟัง ทั้งนี้ก็หวังไว้ว่าผู้ฟังที่สูงอายุนี้ จะสามารถไปเผยแผ่ อบรมต่อบุตรหลานของตนต่อไป หรืออย่างน้อยก็เป็นการทำให้ผู้ฟังที่สูงอายุ มีหลักธรรมประจำใจมีความสุขดำรงตนอย่างเหมาะสม แก่สถานภาพ
...มีต่อตอนที่ ๒
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น